ก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน สิ้นพระชนมายุในพรรษาสุดท้าย ณ ไต้ร่มเงาพระวิหาร ตำบลอุฬุวคาม เมืองไพศาลี …หลังจากขับไล่ทุกขเวทนาพยาธิที่พระองค์ทรงประชวรแล้ว พระอานนท์เถระเห็นความผาสุกแห่งพระองค์ท่าน จึงเข้าไปกราบนมัสการ สรรเสริญและรำพึงรำพันในเหตุที่พระองค์จะดับขันธ์ปรินิพพานนั้น

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

ดูกรอานนท์ ภิกษุยังมาหวังเฉพาะซึ่งอะไรในเราผู้ตถาคตเล่า
ดูกรอานนท์ ธรรมเราผู้ตถาคตได้แสดงแล้ว ทำไม่ให้มีภายใน ไม่ให้มีภายนอก
ดูก่อนอานนท์ กำมืออาจารย์ ซึ่งจะซ่อนความลี้ลับคือธรรมทั้งหลายไว้แก่สาวกบางเหล่าต่อกาลเป็นที่สุดย่อมไม่มีแก่ตถาคตเลย

…แล้วพระองค์ตรัสแสดงถึงเหตุที่พระองค์มีความผาสุข ว่า
ดูก่อนอานนท์ …สมัยใดพระตถาคตเจ้าเข้าถึงอนิมิตตเจโตสมาธิวิหาร
คือทำสมาธิอันไม่มีมีนิมิต ว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวงอยู่ เวทนาบางเหล่าย่อมดับไป
ดูก่อนอานนท์ สมัยนั้นกายแห่งพระตถาคตเจ้าย่อมมีความผาสุกสบาย
ดูก่อนอานนท์ เพราะอนิมิตเจโตสมาธิวิหารนั้น เป็นเหตุให้กายมีความผาสุก…

อนิมิตตเจโตสมาธิ เป็นไฉนหนอ

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เข้าอนิมิตตเจโตสมาธิอยู่ เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนิมิตทั้งปวง นี้เรียกว่าอนิมิตตเจโตสมาธิ

เราก็เข้าอนิมิตตเจโตสมาธิอยู่ เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนิมิตทั้งปวง เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ วิญญาณอันซ่านไปตามซึ่งอนิมิตย่อมมี

พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาเราด้วยพระฤทธิ์ แล้วได้ตรัสว่า โมคคัลลานะๆ เธออย่าประมาทอนิมิตตเจโตสมาธิ จงดำรงจิตไว้ในอนิมิตตเจโตสมาธิ จงกระทำจิตให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้นในอนิมิตตเจโตสมาธิ จงตั้งจิตไว้ให้มั่นในอนิมิตตเจโตสมาธิ

อ้างอิง:
โมคคัลลานสังยุตต์ พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ ข้อที่ ๕๒๓ หน้า ๒๘๓

ทรงผาสุกยิ่งนัก เมื่อทรงอยู่ในอนิมิตตเจโตสมาธิ

อานนท์ ! สมัยใด ตถาคตเข้าสู่เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต เพราะไม่ทำนิมิตทั้งปวงไว้ในใจ ดับเวทนาบางพวกเสีย แล้วแลอยู่ ; อานนท์ ! สมัยนั้น ความผาสุกยิ่งนัก ย่อมมีแก่ตถาคต.

อานนท์ ! เพราะเหตุนั้น เธอ ท. จงเป็นผู้มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ : มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่น เป็นสรณะ อยู่เถิด.

อานนท์ ! อย่างไรเล่า เรียกว่าภิกษุผู้มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ : มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่ ?

อานนท์ ! ภิกษุ ท. ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่งกายในกายมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก เป็นอยู่ ; เป็นผู้ตามเห็นซึ่งเวทนาในเวทนา ท. มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก เป็นอยู่ ; เป็นผู้ตามเห็นซึ่งจิตในจิต มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก เป็นอยู่ ; เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ท. มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก เป็นอยู่.

อานนท์ ! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ : มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่น เป็นสรณะ เป็นอยู่.


  • บาลี มหา. ที. ๑๐/๑๑๘/๙๓ ; มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๐๕/๗๑๑. ตรัสแก่พระอานนท์ ที่ เวฬุวคาม เมืองเวสาลี.